ระบบจำนวนเต็ม
จำนวนเต็ม
(Integer)
จำนวนเต็ม
คือ จำนวนที่ไม่มีเศษส่วนและทศนิยมรวมอยู่ในจำนวนนั้น จำนวนเต็มประกอบด้วย จำนวนเต็มบวก
จำนวนเต็มลบ และศูนย์ ดังแผนภูมินี้
ที่มา : http://nitapure.blogspot.com/2013/09/blog-post_3512.html
จำนวนเต็มแบ่งออกเป็น
3 ชนิด
จำนวนเต็มลบ
จำนวนเต็มลบ
คือ จำนวนที่มีค่าน้อยกว่า ศูนย์ มีตำแหน่งอยู่ทางด้านซ้ายมือของศูนย์เมื่ออยู่บนเส้นจำนวน
และ จะมีค่าลดลงเรื่อย ๆ โดยไม่สามารถจะบอกได้ว่าจำนวนใดจะมีค่าน้อยที่สุด
แต่เราสามารถรู้ได้ว่าจำนวนเต็มลบที่มีค่ามากที่สุด คือ -1
เราพอจะสรุปลักษณะที่สำคัญของจำนวนเต็มลบได้ดังนี้
1.
จำนวนเต็มลบเป็นจำนวนที่มีค่าน้อยกว่าศูนย์ หรือถ้ามองบนเส้นจำนวนก็คือ
เป็นจำนวนที่อยู่ทางซ้ายมือของศูนย์
2.
จำนวนเต็มลบที่มีน้อยที่สุดไม่สามารถหาได้ แต่ จำนวนเต็มลบที่มีค่ามากที่สุด คือ-1
3.
ตัวเลขที่ตามหลังเครื่องหมายลบ ถ้ายิ่งมีค่ามากขึ้นจำนวนเต็มลบนั้นจะมีค่าน้อยลงกล่าวคือ
...-5 < -4 < -3 < -2 <
-1
ศูนย์
( ใช้สัญลักษณ์ "0" )
ศูนย์
( ใช้สัญลักษณ์ "0" ) เป็นจำนวนเต็มอีกชนิดหนึ่ง
ที่เราไม่ถือว่าเป็นจำนวนนับจากหลักฐานที่ค้นพบทำให้เราทราบว่ามนุษย์รู้จักใช้สัญลักษณ
์ "0" ในราวปี ค.ศ. 800 โดยที่ "0"
แทนปริมาณของการไม่มีของหรือของที่ต้องการกล่าวถึงแต่ก็ไม่ใช่ว่า 0
จะไม่มีความหมายถึงการไม่มีเสมอไป ตัวอย่างเช่น ระดับผลการเรียนทางด้านความรู้
โดยนักเรียนที่มีระดับผลการเรียนเป็น 0 ไม่ได้หมายความว่านักเรียนคนนั้นไม่มีความรู้
เพียงแต่ ว่ามีความรู้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
จำนวนเต็มบวก
หรือ จำนวนนับ
จำนวนเต็มบวก
หรือ จำนวนนับ คือ จำนวนเต็มที่มีค่ามากกว่า 0 ไปเรื่อย ๆโดยที่ไม่สามารถระบุได้ว่าจำนวนนับตัวสุดท้ายเป็นอะไร
จำนวนนับเริ่มต้นที่ 1 , 2 , 3, ... ซึ่งเราทราบแล้วว่า
จำนวนนับที่น้อยที่สุด คือ 1 แต่จำนวนนับที่มากที่สุดหาไม่ได้
![]() |
รูปภาพเส้นจำนวนเต็ม |
ที่มา : https://www.google.co.th/search?q=เส้นจำนวน&rlz=1C1CHZL
การบวก
– ลบจำนวนเต็ม
1. ผลบวกระหว่างจำนวนเต็มบวก 2
จำนวน หรือ จำนวนเต็มลบ
2 จำนวน จะมีค่าเท่ากับค่าบวกหรือค่าลบของผลบวกค่าสัมบูรณ์ตามลำดับ
2. ผลบวกระหว่างจำนวนเต็มบวกกับจำนวนเต็มลบ คือ
ผลต่างระหว่างค่าสัมบูรณ์ทั้งสองโดยใช้ค่าสัมบูรณ์มากกว่าเป็นตัวตั้ง แล้วใส่เครื่องหมายตามตัวมากกว่า
การลบจำนวนเต็ม
ต้องอาศัยการบวกตามข้อตกลงดังนี้
ตัวตั้ง - ตัวลบ = ตัวตั้ง +
จำนวนตรงข้ามของตัวลบ
ตัวอย่าง เช่น 6 - 2 = 6
+ (-2)
2 -
6 =
2 + (-6)
(-15) -
3 =
(-15) + (-3)
จะเห็นได้ว่า เวลาบวกเลขที่มีเครื่องหมาย
ถ้าเครื่องหมายเหมือนกันก็เอาไปรวมกันถ้าเครื่องหมายต่างกันก็เอาไปหักกัน
จำนวนที่เหลือก็มีเครื่องหมายตามจำนวนมากในการลบนั้น
เราเปลี่ยนเครื่องหมายตัวลบให้เป็นตรงข้ามคือ
ถ้าตัวลบเป็นจำนวนลบก็เปลี่ยนเป็นจำนวนบวกแล้วเอาไปบวกกับตัวตั้งถ้าตัวลบเป็นจำนวนบวกก็เปลี่ยนเป็นจำนวนลบแล้วเอาไปบวกกับตัวตั้ง
ตัวอย่างเช่น 5 +
4 = 9
5 + (–4) =
1
(–5) +
4 = – 1
(–5) + (–4) = – 9
5 – 4 = 5
+ (–4) =
1
(–5) –
4 = (–5) + (–4) = – 9
(–5) –
(–4) = (–5) +
4 = – 1
การคูณจำนวนเต็ม
การคูณระหว่างจำนวนเต็มสองจำนวน
อาศัยเรื่องผลคูณของค่าสัมบูรณ์ของจำนวนทั้งสอง
โดยมีเครื่องหมาย ดังนี้
(+)
x (+) =
+ (+) x (–) =
–
(–) x (+)
= – (–) x (–) =
+
ตัวอย่างที่ 1
จงหาผลลัพธ์ของ
1. 4 x (–3) = -12 2. 4
x (–7) =
-28
3. (–12) x 3 =
-36 4. (–8) x 4 = -32
การหารจำนวนเต็ม
จงหาผลหาร
1. -100 / 5 =
20 3. 8 . -8
= -1
2. - 42 /
- 6 = 7 4. 15 / 5 = 3
ข้อสังเกต
1.
จำนวนเต็มชนิดเดียวกันหารกันได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนเต็มบวก
2.
จำนวนเต็มคนละชนิดกันหารกันได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนเต็มลบ
เข้าใจง่ายมากเลยครับผม
ตอบลบเนื้อหาดีมากครับ
ตอบลบเนื้อหาสุดยอดมากเลยครับ เข้าใจง่ายกว่าตอนเรียนกับอาจารย์อีก
ตอบลบนึกถึง อาจารย์ที่เรียนเลยครับ
ตอบลบดีมากเลยค่ะ
ตอบลบขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ
ตอบลบเนื้อหาอ่านเข้าใจง่ายค่ะ กำลังสอบอยู่พอดีเลย
ตอบลบเท่าไรครับ
ตอบลบ